เมื่อลมหนาวพัดมา
หัวใจและร่างกายต้องการภูเขา ลมหนาว และสายหมอกอีกแล้วสินะ
.
ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 59 ผมได้เดินทางขึ้นเหนือไปเยือนเมืองน่าน เมืองสงบ น่ารักๆ เต็มไปด้วยศิลปะ จุดหมายอยู่ที่การมาไหว้พระธาตุแช่แห้ง และขึ้นดอยรับลมหนาวและชมทะเลหมอก
ทริปนี้ผมนอนที่เมืองน่าน 1 คืน ขึ้นดอยเสมอดาวอีก 1 คืน และอุทยานแห่งชาติขุนสถานอีก 1 คืน ในเมืองน่านผมพักที่โรงแรมเวียงแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดพระธาตุแช่แห้ง และเป็นโรงแรมที่มีธีมเป็นกระต่าย เพราะพระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีเถาะ ( ปีกระต่าย )
พิกัดโรงแรมเวียงแก้ว https://goo.gl/CFexqm
……
การเดินทางไปน่าน ผมใช้สายการบิน ThaiAirAsia ( ไทยแอร์เอเชีย)
ส่วนรถเช่าใช้บริการของ Avis ( เอวิส ) ซึ่งรับรถได้เลยที่สนามบินน่านนคร ได้รถวีออส คล่องตัวดี วิ่งขึ้นเขาสบาย หายห่วงครับ
บนดอยเสมอดาว ผมนอนเต็นท์ครับ อากาศกำลังเริ่มหนาว เป็นคืนที่ดาวเต็มฟ้า สมกับชื่อดอยเสมอดาวจริงๆ ตอนเช้าก็ได้ชมหมอกแบบเต็มๆ สวยอย่าบอกใครครับ
พิกัดดอยเสมอดาว https://goo.gl/f5xnML
ส่วนที่ขุนสถานจะสูงกว่าและหนาวกว่าและทางขึ้นชันกว่าดอยเสมอดาวมาก มีหมอกมาให้ชมไม่มากนัก
พิกัดขุนสถาน https://goo.gl/yrV4kU
วันที่ 1 ไหว้พระธาตุแช่แห้ง
พิกัด https://goo.gl/5jbvcd
เรามาเริ่มกันเลยครับ เที่ยวเมืองน่านวันแรก ไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเกิดของคนเกิดปีเถาะ ซึ่งอยู่ที่อ.ภูเพียง ใกล้ๆกับตัวเมืองน่านนั่นแหละครับ แต่อยู่ในเขตอ.ภูเพียง
วิธีการเดินทางไปวัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงตึ๊ด จากตัวเมืองจะมีป้ายบอกทางไปวัด สังเกตุป้ายไปสันติสุข กับแม่จริม เมืองน่านเป็นเมืองเล็กๆ ขับสบายๆ ข้ามสะพานแม่น้ำน่าน (สะพานพัฒนาภาคเหนือ )ไปตามเส้นทางสายน่าน-แม่จริม หรือทางหลวงหมายเลข 1168 ประมาณ 3 กิโลเมตร จอดรถที่ด้านข้างวัดได้เลยครับ
จอดรถเสร็จ เดินเข้าวัด พระธาตุแช่แห้งงามเด่นในวันแดดแรงๆ ฟ้าใสๆ
พญานาค เฝ้าวัด
แต่จริงๆ เราควรย้อนมาทางด้านหน้าวัด มาไหว้พญานาคก่อน เพราะพญานาคทำหน้าที่เฝ้าวัดพระธาตุแช่แห้ง หลังจากนั้นค่อยเข้ามาชมจุดต่างๆของวัด
วัดพระธาตุแช่แห้ง
ก่อนอื่น เรามารู้จักวัดพระธาตุแช่แห้งกันก่อนครับ พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่า หากได้เดินทางไป “ชูธาตุหรือจุธาตุ” หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไหว้พระธาตุ และชมวัดพระธาตุแช่แห้งได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00-18.00 น.
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในสมัยของพญาการเมือง ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ. 1896 พญาการเมืองเจ้าผู้ครองนครน่าน(วรนคร) ได้รับเชิญจาก พระยาโสปัตตกันทิ(พระเจ้าไสลือไท) กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ให้ไปร่วมพระราชกุศล สร้างพระอารามหลวงในกรุงสุโขทัย เมื่อทรงสร้างพระอารามหลวงเสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก ที่เจ้าผู้ครองนครน่านได้มาร่วมพระราชกุศลสร้างพระอารามหลวงจนเป็นผลสำเร็จ จึงได้โปรดพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุให้รวม 7 องค์ รูปพรรณสัณฐานเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีวรรณะต่างกัน และพระพิมพ์ทองคำ 20องค์ พระพิมพ์เงิน 20องค์ ให้แก่ พญาการเมือง
เมื่อพญาการเมืองได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานไว้ ณ ดอยภูเพียงแช่แห้งแล้ว ต่อมาจึงย้ายเมืองวรนครจากท้องที่อำเภอปัวในปัจจุบัน มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เชิงดอยภูเพียงแช่แห้ง ทรงขนานนามตามชื่อดอยว่า เมืองภูเพียงแช่แห้งสืบมา
วิหารพระพุทธไสยยาสน์
ได้รู้จักวัดพระธาตุแช่แห้งแล้ว ต่อไปผมจะพาชมวัดครับ เริ่มจากด้านนอกก่อน หลังจากไหว้พญานาค เรามาที่ วิหารพระพุทธไสยยาสน์ เป็นวิหารที่สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช ตามความดังนี้ แลเมื่อ ร.ศ.126 พ.ศ. 2450 สร้างวิหารพระพุทธไสยยาสน์ 1 หลัง ยาว 10 วา 2 ศอก 10 นิ้ว กว้าง 4 วา 2 ศอก 10 นิ้ว ซ่อมแซมฐานพระไสยยาสน์ก่อด้วยอิฐถือปูน มุงกระเบื้องไม้ยม เพดานลงรักปิดทอง ก่อกำแพงแก้วรอบวิหาร 4 ด้าน ยาวด้านละ 18 วา 2 ศอก 10 นิ้ว
พระพุทธไสยยาสน์ พระประธานในวิหารพระพุทธไสยยาสน์ประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทอง ยาว 14 เมตร สูง 2 เมตร พร้อมด้วยพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานบนฐานชุกชี สร้างด้วยอิฐถือปูน หน้าตัก 70 เซนติเมตร สูง 100 เซนติเมตร สร้างในสมัยพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงคราม (พ.ศ.2129) โดย มหาอุบาสิกานามว่านางแสนพาลาประกอบด้วยศรัทธาสร้างพระนอนไว้เป็นที่สักการบูชาแก่คนทั้งหลาย
พระมหาเจดีย์ชเวดากองจำลอง
อยู่ใกล้กับลานจอดรถ เดิมเรียกพระธาตุแช่แห้งน้อย เป็นพระธาตุประจำของผู้เกิดนักษัตรปีมะเมีย เป็นศิลปะแบบพม่า
โบสถ์พระมหาอุตม์
โบสถ์มหาอุตม์ : เป็นโบสถ์ที่มีประตูเข้าออกแค่หน้าโบสถ์เพียงประตูเดียว ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บรรพบุรุษในสมัยนั้น มีความศรัทธาสร้างขึ้น วัตถุประสงค์ก็เพื่อใช้กระทำการทางด้านเวทมนต์คาถา ปลุกเสกพระ ตะกรุด หรือ ของขลัง ต่างๆ
มีพระประธานในโบสถ์คือ “หลวงพ่อมหาอุตม์” โบสถ์นี้ห้ามสตรี คน หรือ สัตว์เดรัจฉาน ที่เป็นเพศเมียเข้าเด็ดขาด แม้แต่ตัวเป็นชาย ใจเป็นหญิง ก็ไม่อนุญาตให้เข้า เราก็กราบ และอธิษฐานเอาที่ด้านนอก ที่นี่เป็นอีกที่ ที่เหล่านายร้อย ทหาร ตำรวจ ทั้งผู้น้อย ผู้ใหญ่ มากราบขอพร หรือบนกัน เพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ใครที่ทำงานแนวนี้ ลองมากราบสักการะขอพรท่านดูนะครับ
พระธาตุแช่แห้ง
เข้ามาด้านในครับ องค์พระมหาธาตุแช่แห้งงามเด่น ต้องแสงแดด ที่นี่เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาติ มีความสำคัญทั้งในด้านแบบแผนทางศิลปกรรม เป็นหลักฐานทางโบราณคดีและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดน่าน มีความยาวของฐานล่าง ซึ่งเป็นฐานเขียงรูปแท่งสี่เหลี่ยม ด้านละ 19.25 เมตร และมีความสูงจากฐานต่างระดับพื้นดินจนถึงปลายสดของดอกไม้ทิพย์ มีความสูง 43.49 เมตร นับเป็นประธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแผ่นดินล้านนา เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดน่านและพุทธศาสนิกชนทั่วไป จะมีงานประเพณีนมัสการพระมหาธาตุทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 6 เหนือ (เดือน 4 ใต้)
พระธาตุแช่แห้งได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 61 ตอนที่ 65 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2487 ประกาศขอบแขตในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 97 ตอนที่ 159 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2523
พระธาตุแช่แห้งองค์เดิม
คำนมัสการพระธาตุแช่แห้ง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ)
ยา ธาตุภูตาอะตุลานุภาวา จิรังปะติฏฐิตา นันทะกัปปะเก ปุเรเทเวนะ คุตตาวะระพุทธะธาตุง จิรัง วันทามิหันตังชินะธาตุโย โสตะถาคะตัง อะหัง วันทามิสัพพะทา อะหัง วันทามิ ทูระโต เครื่องบูชา ตามตำรา พระเจ้า๕หลัง มาไหว้เทวดา ชื่อ “หริโต” เทวดาองค์นี้ เสวยข้าวกับ น้ำอ้อย หรือสมัยนี้ที่เรียกว่า “ข้าวเหนียวแดง” ไม่ให้เอาเหล้า เนื้อสัตว์ เข้ามาถวายเด็ดขาด
เหรียญดวงดีรับปีชง
สำหรับคนที่เกิดปีเถาะ ( ปีกระต่าย ) กระแสปีง ชงหนักโดนเต็ม 100% ส่วนปีอื่นๆ ที่โดนหางเลขเหมือนจะมีเอี่ยวด้วย ก็ไม่ต้องกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ ไปเที่ยว ทำบุญให้สบายใจกันดีกว่า
ทางวัดพระธาตุแช่แห้ง ได้จัดทำเหรียญขึ้นมารุ่นหนึ่ง เป็นเหรียญพระธาตุแช่แห้ง และเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย ชื่อ “เหรียญดวงดีรับปีชง”เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่สนใจ ได้มีไว้บูชา ใครสนใจก็ลองไปหาข้อมูล กันนะครับ จะเปิดให้สั่งจองประมาณ กลางเดือนธันวาคม 59 เป็นต้นไป
วิหารหลวง
วิหารหลวง อยู่ติดกับพระธาตุด้านทิศใต้ของพระธาตุ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาแต่ในสมัยพญาการเมือง พุทธศักราช 1902 หลังจากที่ได้ย้ายเมืองจากเมืองวรนครมาสร้างเมืองอยู่ที่เมืองภูเพียงแช่แห้ง นับได้ว่าในสมัยนั้นเวียงภูเพียงแช่แห้งคือศูนย์รวมของอารยธรรม วัฒนธรรม ความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นวัดพระธาตุแช่แห้งก็ถือได้ว่าเป็นวัดหลวงของอาณาจักรแห่งนี้ ย่อมมีสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นสถานที่ที่จะประกอบพิธีกรรม หนึ่งในนั้นก็คือพระวิหารหลวงแห่งนี้
ตรงมุมหน้าจั่วและปลายจั่วหลังคาของแต่ละมุขจะประดับด้วยพญานาคราชซึ่งปั้นด้วยปูนลักษณะชูคอเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์คุ้มครองพระวิหารหลวง รวมแล้วมีทั้งหมดจำนวน 42 ตัว ส่วนหางของพญานาคราชจะเลื้อยไปตามสันหลังคาและจะไปเกี้ยวกวัดรัดกันเป็นวง เป็นชั้นๆ 3ชั้นอยู่ตรงกลางสันหลังคา
วิหารหลวง กับพระธาตุ ในยามแสงทไวไลท์ งดงามมาก
พระเจ้าอุ่นเมือง
ด้านในพระวิหารหลวง มีพระประธานองค์ใหญ่ปางสมาธิ พระนามว่าพระเจ้าอุ่นเมือง
อัฏฐพญานาคราช
บนซุ้มประตูเหนือทางเข้าที่พระวิหารหลวง ประกอบด้วยลายปูนปั้นเป็นรูปพญานาคราช ๘ ตัว เกี้ยวกวัดรัดกันเป็นบ่วงอยู่เรียกว่า อัฏฐพญานาคราช
บูชาพระราหู
ประตูโขง 4 ทิศ แต่ละทิศไม่เหมือนกัน
ด้านตะวันออก มีราหูอมจันทร์ ตรงนี้ท่านเจ้าอาวาสเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านสมัยเด็กๆ ได้มาที่วัดนี้ ก็ยังไม่เคยเห็น เพราะไม่เป็นที่สังเกต จนเวลาผ่านมาไปหลายปี ภาพของพระราหูก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่านจึงได้นำทองมาปิดไว้ให้คนได้เห็นชัดเจนขึ้น เป็นลักษณะที่งดงามมาก แนะนำว่าคนที่เกิดวันพุธกลางคืน ควรมาสักการะเป็นอย่างยิ่ง
เคล็ดลับ การขอพรจากองค์พระราหู คือให้ขอได้เพียง 1 ข้อ ระหว่าง ขอให้สุขภาพดี กับ ขอให้ได้มีความร่ำรวย ตั้งใจให้แน่วแน่ เพียง 1 ข้อ แล้วขอเลย
พระเจ้าทันใจ
วิหารพระเจ้าทันใจ อยู่ด้านซ้ายมือขององค์พระธาตุ(จากทางเข้าหลัก) เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ 3 องค์ ปางมารวิชัย 2 องค์ และปางสมาธิ 1 องค์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาพร้อมๆกับการสร้างองค์พระธาตุ เชื่อกันว่าเมื่อขอพรจากพระเจ้าทันใจแล้ว จะสมหวังรวดเร็วทันใจ
ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณพระธาตุแล้ว ออกมาก็มาเคาะระฆัง
โรงแรมเวียงแก้ว
หลังจากไหว้พระธาตุ ชมวัดแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อน คืนนี้ผมนอนที่โรงแรมเวียงแก้วครับ เป็นโรงแรมหรู 3ดาวครึ่ง ตั้งอยู่ที่ถนนสาย 1168 ก่อนถึงวัดพระธาตุแช่แห้ง ราวๆ 1 กม.ได้ครับ
บริเวณโรงแรมกว้างขวางมาก อาคารและโรงแรมออกแบบในสไตล์ไทยลื้อ เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่อีกเมืองเลยครับ
โรงแรมเวียงแก้ว มีธีมเป็นกระต่าย ผ้าเช็ดตัวในห้องก็เป็นกระต่าย 2 ตัว ภาพบนหัวนอนก็มีกระต่าย แล้วยังมีโคมไฟอีก ทั้งนี้เป็นเพราะอยู่ใกล้วัดพระธาตุแช่แห้ง ที่พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนเกิดปีเถาะ ถ้ามาพักที่นี่ จะไปไหว้พระธาตุสะดวกมาก ราคาห้องพักก็ไม่แพง เริ่มต้นพันกว่าบาทไม่ถึง2พัน รวมอาหารเช้า
ตื่นเช้าๆมาถ่ายล็อบบี้ตอนทไวไลท์ครับ
วันที่ 2 แอ่วน่านเนิบๆ
เช็คเอ้าท์แล้ว ก็ได้เวลาเที่ยวต่อ แต่ก่อนขึ้นดอยเสมอดาว ผมตระเวนเที่ยวในเมืองน่านก่อนครับ เพราะดอยเสมอดาว ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ราวๆ 2-3 ชั่วโมงไม่ต้องรีบก็ได้ เราเริ่มจากจุดบริการนักท่องเที่ยวครับ
ตรงนี้ใกล้กับวัดภูมินทร์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน วัดช้างค้ำวรวิหาร วัดหัวข่วง ถ้าขับอีกนิดจะเจอวัดศรีพันต้นครับ วัดภูมินทร์ หน้าหนาวในวันฟ้าใส แดดแรงเหมือนกัน
ใกล้กับวัดภูมินทร์มีจุดบริการนักท่องเที่ยวและมีรถรางชมเมือง
พิพิธภันฑ์สถานแห่งชาติน่าน
ข้ามถนนมาทีพิพิธภันฑ์สถานแห่งชาติน่านบ้าง ที่นี่มีซุ้มดอกลีลาวดีหนาแน่นและสวยมาก เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาถ่ายรูป เมื่อมาเที่ยวเมืองน่าน วันนี้ฟ้าใส อากาศดีมากๆ ถ่ายรูปเพลินเลยครับ
ข้ามถนนจากพิพิธภัณฑ์น่าน ก็เจอวัดช้างค้ำวรวิหาร
ดอยเสมอดาว
หลังจากนั้น ได้เวลาขึ้นดอยเสมอดาวแล้วครับ ดอยเสมอดาว ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ต.ศรีษะเกษ อ.นาน้อย จ.น่าน สูงจากระดับน้ำทะเล 888 เมตร ซึ่งถือว่าไม่สูงนัก แต่สวยมาก ผมใช้รถวีออส จากรถเช่า Avis (เอวิส ) ขับสบายๆจากเมืองน่าน ใช้ถนนหมายเลข 101ไปยังอ.เวียงสา จากเวียงสา ต่อไปยังอ.นาน้อย ใช้สาย 1026 ถึงนาน้อย ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง แวะอ.นาน้อย หาซื้อเสบียงกันก่อน ที่นาน้อยมีปั๊มปตท. มีเซเว่นด้วยครับ แต่ต้องกลับรถมาที่ปั๊ม หลังจากนั้น เลี้ยวซ้ายตรงสิ้นสุดถนน 4 เลนของอำเภอนาน้อย ซึ่งตอนผมไปยังไม่มีป้ายดอยเสมอดาว ( ป้ายดอยเสมอดาว คงต้องพัฒนาอีกหน่อยครับ หายากเหลือเกิน ) พอเลี้ยวแล้วขับไปอีกหน่อย จะมีป้ายหมายเลขถนน 1083 และป้ายดอยเสมอดาว
เมื่อเข้าถนนหมายเลข 1083 จากอ.นาน้อย ขับอีกเพียง 15 กม.แต่ถ้าจะแวะกินส้มตำ ไก่ย่าง ตรงนี้มีร้านขายไก่ย่าง ก่อนขึ้นดอย 15 กม. ราคาปกติ ไม่มีชาร์ตแต่อย่างใด กินเสร็จก็ขับต่อ ถึงดอยเสมอดาว ถนนดีมากครับ ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขา สบายๆ ขึ้นได้ทั้งรถเล็กและรถใหญ่ แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังขับรถขึ้นดอย รวมระยะทาง 70 กว่ากิโลเมตร เมื่อถึงที่ทำการดอยเสมอดาวจากถนนใหญ่หมายเลข 1083 เลี้ยวซ้ายเข้าจุดกางเต็นท์ประมาณ400 เมตร จ่ายค่าเข้าอุทยานก่อน รถ30 บาท คน 20 บาท ถ้าเป็นวันศุกร เสาร์จะมีค่าบริการอีก20 บาท สามารถนำเต็นท์มากางเองได้เลย แต่ถ้าขี้เกียจกาง ทาง อช. มีเต็นท์กางไว้แล้วให้เช่า ในราคา400 กว่าบาท อันนี้เป็นเต็นท์ของอุทยาน ถ่ายรูปไว้ซักใบ2ใบ แต่ถ้าจะมานอนเต็นท์ช่วงวันหยุดยาว หรือปีใหม่ แนะนำควรจองเต็นท์ของอุทยานครับ 054 731714 และ 093 2422914
แชะภาพตัวเองเป็นที่ระลึกแล้ว ก็มากางเต็นท์ครับ ครั้งนี้ผมกางเอง หาที่เหมาะๆหลบแดดหน่อยครับ จะได้เข้าเต็นท์เร็วขึ้น
ที่จุดกางเต็นท์ดอยเสมอดาว มีที่จอดรถไม่มากนัก เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเป็นช่วงวันหยุดยาว และช่วงปีใหม่ จะไม่ให้นำรถขึ้นไปจอด ทางอช.จะจัดที่จอดให้ด้านล่าง แล้วเดินขึ้นอีกหน่อย ซึ่งก็ไกลพอสมควร อาจไม่สะดวกเรื่องข้าวของในรถ แนะนำว่าถ้ามาช่วงวันธรรมดาได้จะฟินกว่าเยอะครับ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรจัดของที่จำเป็นใช้ให้รวมๆอยู่ในแพ็คเดียวกัน จะได้ไม่เสียเวลาเดินขึ้นลงไปที่จอดรถ ถ้าลืมของ
ส่วนห้องน้ำมีไว้บริการเพียงพอ ( สำหรับตอนผมไปเพราะนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ ) มีน้ำร้อนไว้บริการด้วย ส่วนเรื่องชาร์ตแบต ต้องเสียเงินชาร์ตที่ร้านค้าครับ ( ผมชาร์ตแบตกล้อง 30 บาท แอบแพงไปหน่อย เลือดไหลซิบๆ แงๆ) ร้านค้าบางร้านก็อยู่ใกล้จุดกางเต็นท์ บางร้านก็ไกลไปอีกหน่อย เรื่องอาหารการกิน ถ้าไม่ได้ตุนเสบียง ทางอช. ก็จัดพื้นที่ให้มีร้านอาหารไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว ทางร้านมีบริการส่งอาหารถึงจุดกางเต็นท์ด้วยครับ สามารถโทรสั่งได้ ส่วนจุดถ่ายภาพมีทั้งด้านพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก ซึ่ง 2ใบนี้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ตก แสงกำลังสาดส่องสวยงามเลยครับ
หลังพระอาทิตย์ตก ฟ้าก็เริ่มมืดลง แสงทไวไลท์ก็มาแทน อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนดาวนี่มาให้นับดาวแบบเพลินๆ นับไม่ถูกกันเลย เยอะมากๆครับ ดูได้ตั้งแต่หัวค่ำเลย เป็นที่ที่ผมว่ามีดาวให้ดูเยอะมาก โรแมนติกจริงๆ (แอบอิจฉาเต็นท์ข้างๆ มาเป็นคู่ แงๆ ) เหมือนเราอยู่ใกล้ๆดาวเลย ใกล้จนอยากจะเอื้อมมือไปคว้าดาวมาเป็นของตัวเองซักดวง
คืนนั้นถ่ายดาวเพลินมาก แต่ก็ต้องคอยหลบไฟที่นักท่องเที่ยวส่องทางเดินไปเดินมา คืนนั้นผมคล้องช้างได้มาด้วย ตื่นเต้นมากๆ ช้างเผือกใบแรกของผมถ่ายจากเต็นท์ตัวเองเลยครับ
หลังจากนั้นค่อยขยับไปหามุมเรื่อยๆ
ตรงนี้เป็นผาหัวสิงห์ที่อยู่ฉากหลัง ฉากหน้าเป็นต้นไม้ 2ต้น อยู่เป็นคู่ ซึ่งผมว่า มันสวยและโรแมนติกมาก เหมือนต้นไม้คู่นี้กำลังนับดาวด้วยกันเลย (แอบอิจฉาต้นไม้ครับ อิอิ )
ใบนี้ขยับมาถ่ายตรงผาหัวสิงห์เต็มๆ
และใบนี้ ขอเป็นต้นไม้ต้นนี้แล้วกัน ยืนโดดเดี่ยว ไม่ไปเที่ยวไหนเลย คอยต้อนรับนักดูดาว นักดูหมอกอยู่ตรงนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ตอนเช้าก็ได้ชมทะเลหมอกแบบเต็มๆตา ผมตื่นตี5 กว่าๆ เดินมาจุดชมวิวเห็นนักท่องเที่ยวมารอชมทะเลหมอกเยอะมากแล้ว ทะเลหมอกเช้านี้สวยมากๆ แต่ลุ้นได้ไม่ถึงไข่แดงพระอาทิตย์ แต่ก็นับว่าเป็นทริปที่แฮปปีจริงๆครับ
เช้านี้ไม่ผิดหวังครับ หมอกมาเกือบเต็มพื้นที่ ผมเห็นนักท่องเที่ยวชมทะเลหมอกอยางมีความสุข แน่นอนทุกคนต่างเก็บภาพตัวเองกับทะเลหมอกสวยๆกับแสงอุ่นๆของพระอาทิตย์เก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะบางทีก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้มาอีก แถมมาอีก แล้วจะเจอหมอกสวยๆแบบนี้อีกหรือไม่ ของแบบนี้ มันอยู่ที่ดวงด้วยครับ
หลังถ่ายทะเลหมอกตอนพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ สายๆก็มาถ่ายด้านพระอาทิตย์ตกบ้าง ด้านนี้หมอกก็เยอะครับ ยังถ่ายภาพได้อีก
เท่านั้นยังไม่พอครับ กลับมาที่จุดพระอาทิตย์ขึ้นอีกครับ คราวนี้คนไม่มีแล้ว ทุกคนยอมแพ้หมอกหนีไปหมด เป็นโอกาสดีที่จะผมจะถ่ายรูปตัวเองแบบบ้าๆบ้าง อิอิ
จุดชมวิวดอยเสมอดาวยามเช้าจุดนี้ ด้านล่างมีแม่น้ำน่านไหลผ่าน ทำให้โอกาสเกิดทะเลหมอกมีสูงมาก ถ้าวันไหนลมไม่แรง เราได้เจอหมอกแน่ครับ
ขณะกำลังเก็บเต็นท์ ก็ได้ภาพน่ารักๆมาอีก นักท่องเที่ยวกำลังมีความสุขกับการถ่ายภาพ
ส่วนเพื่อนๆคนไหน จะแบกเป้ไปเที่ยวดอยเสมอดาว ก็สามารถนั่งบขส. กรุงเทพฯ-เวียงสา ได้ พอถึงอ.เวียงสา ก็นั่งรถต่อ มาที่ อ.นาน้อย ซึ่งห่างกันน่าจะไม่เกิน50 กิโล (ถ้าจำไม่ผิด อิอิ ) หลังจากนั้นมาหารถที่บริการขึ้นดอยเสมอดาว ซึ่งที่อ.นาน้อยมีอยู่หลายเจ้า มีทั้งรถตู้ รถกระบะ รถมอเตอร์ไซค์ โทรถามก่อนได้ครับ 087-1338140 089-8971450 098-8081782 089-7015629 หรือถ้าจะโบกรถขึ้นดอย ก็น่าจะได้ เพราะมีรถขึ้นดอยเสมอดาวเยอะมาก โบกตรงทางเลี้ยวซ้ายถนน 1083 ได้เลย อาจจะมีรถใจดีรับขึ้นดอยก็ได้ สบายๆ 15 กม.เองครับ
แต่ยังไงเสีย ก็อย่าลืมเข้าไปเที่ยวเมืองน่าน ไปไหว้พระธาตุแช่แห้งกันนะครับ
เที่ยวไปยิ้มไป เมืองไทยของเรา
จากใจ..ชายคาตะวัน