เมื่อลมหนาวมาเยือน เที่ยวสระบุรี
มาถึงเที่ยวเท่ใกล้กรุงตอนที่6 กันแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มหนาวขึ้น ชวนให้คิดถึงบรรยากาศการท่องเที่ยวยิ่งนัก หลายคนอาจแพลนไปเที่ยวภูเขาดูทะเลหมอกทางภาคเหนือ ในขณะที่บางคนก็ลงใต้เที่ยวทะเล เล่นน้ำกันเพลินๆ
แต่ทริปนี้ ลุงชายคาจะพาเที่ยวใกล้ๆกรุงเหมือนเดิม โดยไปกันที่จังหวัดสระบุรี
สระบุรี จังหวัดภาคกลางที่ ใกล้กรุงและเที่ยวง่าย เป็นประตูสู่ภาคอีสาน มีดีที่นม และขนมอร่อย นั่นคือกระหรี่ปั๊บ และตอนนี้ทางจังหวัดเค้าบอกว่า นอกจากนมจะดี กระหรี่จะดังแล้ว สระบุรียังเที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกเดือนด้วยนะ แต่จะดียังไง เที่ยวไหนได้บ้าง ตามลุงชายมาได้เลยครับ
แต่ก่อนอื่น เราต้องกล่างถึงคอนเซ็ปท์การเที่ยวครั้งนี้ก่อน นั่นคือ เที่ยวไทยเที่ยวง่าย สนุกทุกทริป กับ 5จุดเช็คอิน 5วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และ 5 กิจกรรมท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยและรับผิดชอบ
2 วัน 1 คืน ขับรถไปฟิน เมืองนมดี กระหรี่ดัง สระบุรี
วันที่1
1. จุดเช็คอินที่ 1 “วัดพระพุทธแสงธรรม” เลยแยกหินกอง กม.96 อ. หนองแค
เช่นเคยครับ ทริปนี้ขับรถออกจากบ้าน ขับสบายๆ ชิวๆใช้เส้นพหลโยธิน เริ่มต้นแบบนี้ เราเข้าวัดไหว้พระกันก่อน ที่วัด พระพุทธแสงธรรม วัดนี้สวยเด่น เห็นแต่ใกลเลยครับ ลุงเคยขับรถผ่านหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยแวะ ครั้งนี่เลยแวะซะหน่อย
วัดพระพุทธแสงธรรม ตั้งอยู่ที่ ต.หนองนาก อ.หนองแค จังหวัดสระบุรี สวย อลังการมากครับ เด่นที่โดมขนาดใหญ่ และมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ประมาณ 400 ไร่ การออกแบบงดงามวิจิตรมากๆ ได้เข้ามาเห็นก็เป็นบุญตา วัดนี้สร้างยังไม่เสร็จดีนะครับ วัดพระพุทธแสงธรรม สร้างจากจิตศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยมีพระสุนทรธรรมภาณ (เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เป็นประธานการก่อสร้าง) วัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธและเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเผยแพร่พุทธศาสนา
นอกจากโดมขนาดใหญ่แล้ว ยังมีพระอุโบสถไม้แดง ที่งดงาม ทำจากไม้สีแดง ประดับด้วยโคมไฟ ส่วนภายในมีพระประธานองค์พุทธปฏิมากรสีขาว สวยงามยิ่ง
2.จุดเช็คอินที่2 ฟาร์มโคนม ไทย เดนมาร์ค ( อสค. )
160 ถ.มิตรภาพ ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี โทร 0 3634 1200, 0 3634 1328
หลังไหว้พระชมความงามอันวิจิตรที่วัดพระพุทธแสงธรรมแล้ว เราไปต่อกันที่ ฟาร์ม โคนม ไทยเดนมาร์คครับ ขับรถไปตามถนนพหลโยธิน แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพ เส้นทางสู่ภาคอีสาน ขับไปไม่นานก็ถึง ฟาร์มโคนม ไทย เดนมาร์คครับ ที่นี่เราทำกิจกรรมทิ้งขยะลงถังด้วยครับ
ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค.) เป็นจุดเริ่มต้นการเลี้ยงโคนมของ ประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2503 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสประเทศเดนมาร์ค ทรงให้ความสนพระทัยเกี่ยวกับกิจการเลี้ยงโคนม ของชาวเดนมาร์คเป็นอย่างมาก
ต่อมารัฐบาลเดนมาร์ค และสมาคมเกษตรกรโคนมเดนมาร์คได้ร่วมใจกันน้อมเกล้าถวายโครงการส่งเสริมการ เลี้ยงโคนม ซึ่งต่อมาได้โอนให้รัฐบาลไทย และให้จัดเป็น “องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย” (อ.ส.ค.) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมและรับซื้อนมดิบจากเกษตรกรมา แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นม อ.ส.ค. เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟาร์มโคนมไทยเดนมาร์คเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิง เกษตร และจุดเรียนรู้ด้านโคนมอย่างครบวงจร
SHA
ที่ฟาร์มโคนม ไทย เดนมาร์ค ได้รับเครื่องหมาย SHA ตราสัญลักษณ์ความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวยุคปกติใหม่ SHA เป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยวโดยนักท่องเที่ยว
Amazing Thailand Safety and Health Administration (SHA) เป็นโครงการความร่วมมือของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
SHA ทำให้เรามั่นใจเรื่องความปลอดภัยจากโควิด-19 เมื่อมาเที่ยวที่ฟาร์มโคนม ไทย-เดนมาร์ค
ค่าเข้าชมฟาร์มฯ
ผู้ใหญ่ ราคา 120 บาท นักศึกษา (ปริญญาตรี) ราคา 100 บาท เด็ก (เด็กสูงเกิน 90 ซ.ม. – ม.6) ราคา 70 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ราคา 60 บาท เด็ก ส่วนสูงต่ำกว่า 90 ซ.ม.เข้าชมฟรี
รอบบริการชมฟาร์มฯ รอบเช้า 9.00น., 10.00น. และ 11.00น. รอบบ่าย 13.00น., 14.00น. และ 15.00น. นั่งรถรางทำกิจกรรม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที มีกิจกรรมทั้งหมด 5 กิจกรรม
1. ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ เรียนรู้ศาสตร์พระราชา สาธิตการทำปุ๋ยนมสด
2. รีดนมแม่โค (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
3. ป้อนนมลูกโค (ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
4. ชมวีดีทัศน์ประวัติฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค
5. ชมการแสดงคาวบอย
ปล. วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่1 ที่ฟาร์มโคนม ไทย เดนมาร์ค มีของกินของฝากหลากหลายครับ โดยเฉพาะนมโค แบบ UHT มีขายเป็นแพ็ค ทั้งใหญ่และเล็ก นอกจากนั้นยังมีของกิน กุนเชียง แค๊บหมู น้ำมันมะพร้าวสำหรับปรุงอาหาร โยเกิต ฯลฯ
ตลาดของกิน ของฝาก อสค. มวกเหล็ก (วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ 2)
จุดนี้ เชื่อว่า คนที่เดินทางไปภาคอีสาน จะคุ้นกันเป็นอย่างดี เพียงแต่ระยะหลัง การแวะซื้อของกิน ของฝากที่นี่ อาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะมักจะขับรถเพลินๆแล้วก็เลยไป ลืมแวะซะงั้น สำหรับลุงชาย โดยส่วนตัว ชอบที่นี่ครับ แม้ร้านรวง จะไม่เยอะเหมือนเดิม แต่ก็มีแต่ร้านอร่อยๆทั้งนั้น โดยเฉพาะกระหรี่ปั๊บ ของดีของดังสระบุรี ไม่เคยผิดหวังครับ อร่อย ใหม่ กรอบ ทุกร้านกันเลย
ร้านของฝากครูต้อ (วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ 3 )
อยู่ริมถนนมิตรภาพ ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ เป็นจุดพักรถของคนเดินทางจุดหนึ่ง ร้านนี้เปิดขายมายาวนาน มีสเต็กอร่อยๆ ราคาไม่แพง และอาหารอีกหลากหลาย รวมถึงขนม ของกิน ของฝาก เลือกซื้อหากันจนเพลินกันไปเลย
ร้านของฝากน้องกุสุมา (วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ 4 )
ร้านนี้ อยู่ริมถนนมิตรภาพ หน้า 7-11 โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ มวกเหล็ก มีของฝาก ของกินขายหลายอย่าง แต่โดดเด่นคือ “กะหรี่พั๊ฟชาร์โคล” ซึ่งร้านน้องกุสุมาเป็นเจ้าแรกที่ริเริ่มทำกระหรี่พั๊พชาร์โคลในจังหวัดสระบุรี ขายในราคากล่องละ 70 บาท 3 กล่อง 200 บาท มีหลายไส้ให้เลือก นอกจากไส้ไก่ต้นตำหรับที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ก็ยังมีไส้ช็อคโกแล๊ต ไส้ฝอยทอง ไส้บลูเบอร์รี่ และไส้ไก่หยองนะครับ มีโอกาสไปเที่ยวมวกเหล็กหรือเดินทางผ่านไปใครอยากลองของใหม่ พลาดไม่ได้นะคร้าบ
3. จุดเช็คอินที่3 “วัดแก่งคอย”
ตำบล แก่งคอย อำเภอแก่งคอย สระบุรี
วัดแก่งคอย สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2330 โดยชาวบ้านได้ร่วมใจกันก่อสร้างยกที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์เพื่ออุทิศถวายในบวรพุทธศาสนา เดิมชื่อ วัดแร้งคอย เหตุที่ชื่อเช่นนี้ก็มีที่มาคือ เมื่อถึงยุคสมัยบ้านเมืองมีความเปลี่ยนแปลงชาวบ้านได้มีการก่อร่างสร้างตัวมากขึ้นและได้มีการตัดไม้ทำลายป่าเป็นจำนวนมาก คงเหลืออยู่แต่ไม้ใหญ่ยืนต้นบางส่วน เช่น ต้นยางใหญ่ที่แนวริมตลิ่งแม่น้ำป่าสักทางด้านทิศเหนือของวัดเหลืออยู่ปรากฏให้เห็นประมาณ 4 – 5 ต้น เมื่อความเจริญเข้ามา ป่าไม้ก็ลดน้อยถอยลงเพราะถูกทำลาย ทำให้สัตว์ต่างๆ ต้องย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่อื่น
ส่วนนกอีแร้ง อีกา ได้พากันมาอาศัยอยู่ที่ต้นยางใหญ่ ที่เหลืออยู่ในบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำป่าสักทางลงแก่งท่าน้ำของวัดเป็นจำนวนนับร้อยๆตัว ทำให้การหาอาหารจำพวกซากสัตว์ที่ตายไม่พอกับความต้องการของอีแร้งอีกา จึงได้พากันจิกตีแย่งกันร่วงหล่นตกลงมาจากยอดยาง ให้พระเณรและประชาชนได้พบเห็นเป็นประจำ ในตอนเย็นอีแร้งเหล่านี้ก็พากันกลับมานอนที่ต้นยางใหญ่แห่งนี้เป็นประจำตลอดมา เมื่อชาวบ้านเห็นเช่นนั้น จึงได้พากันเรียกว่า ที่แร้งคอย และได้ขนานนามวัดใหม่ว่า “วัดแร้งคอย”
ต่อมาปี พ.ศ. 2487 – 2490 ทางราชการได้ทำการตั้งชื่อวัดเป็นทางการว่า วัดจมูสโมสร และเมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง หมู่บ้าน ชุมชนก็มากขึ้น ทางคณะสงฆ์และชาวบ้านมีความเห็นร่วมกัน สมควรที่จะทำการเปลี่ยนชื่อวัดเดิมให้เข้ากับหมู่บ้านและหน่วยราชการ จึงเปลี่ยนชื่อ จากวัดจมูสโมสร เป็น “วัดแก่งคอย”
จุดที่เด่นของวัดแก่งคอย ก็คือ พระธาตุเจดีย์ศรีป่าสักที่วัดแก่งคอย มาเที่ยววัดแก่งคอย ก็อย่าลืมไหว้พระธาตุเจดีย์ศรีป่าสักกันนะครั
ปล.ที่วัดแก่งคอย เราทำกิจกรรมเพื่อปลอดภัยครับโดยการสวมหน้ากากอนามัย
4 จุดเช็คอินที่4 ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด -โป่งก้อนเส้า
ศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด –โป่งก้อนเส้า อ.แก่งคอย เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แต่ถูกแยกออกมาให้อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (สาขาสระบุรี) เพื่อความสะดวกในการดูแลนักท่องเที่ยว โดยจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และสถานที่พักแรมสำหรับคนที่อยากมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ริมอ่างเก็บน้ำซับป่าว่าน
ที่นี่เป็นลานกางเต็นท์ยอดนิยมของคนไทย มีทัศนียภาพที่สวยงาม อากาศเย็นสบาย มีทะเลสาป ต้นไม้ และภูเขา สามารถกางเต็นท์ได้ริมน้ำกันเลย ค่าบริการสำหรับการกางเต็นท์ แล้วแต่จะบริจาคครับ
นอกจากมีลานกางเต็นท์แล้ว ยังมีบ้านพักให้บริการออีกหลายหลัง ใครชอบความสะดวกสบาย ก็เช่าบ้านพัก นอนค้างแรมกันได้
แต่ก่อนเข้าพื้นที่กางเต็นท์ เราต้องลงทะเบียนกันก่อน โดยสแกนแอ๊บไทยชนะ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์กันก่อนนะครับ
วันที่ 2
มอร์นิ่ง ทะเลสาปและแมกไม้ เจ็ดคตโป่งก้อนเส้า
นอนเต็นท์ ที่เจ็ดคต บอกเลย ฟินมากครับ ครั้งนี้มีเพื่อนๆชาวแคมป์ปิ้งบางตา เพราะเป็นวันธรรมดา ปกติที่นี่จะฮิตมาก คนชอบมากางเต็นท์ดื่มด่ำบรรยากาศ อาจเป็นเพราะสวย เที่ยวง่าย และไม่ไกลครับ
เราบังคับเข็มนาฬิกา ให้เดินช้าๆ ที่เจ็ดคต โป่งก้อนเส้า เพราะมันฟินมากๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เวลายังเดินเร็วเหมือนเดิม อิอิ แป๊บเดียวก็สายแล้ว เก็บเต็นท์ เก็บขยะ โน่นนี่ แล้วก็เดินทางเที่ยวต่อ
ร้านผัดไทย แม่น้องชม ( วิถีถิ่นกินเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ 5 )
หนึ่งเดียวในแก่งคอย ผัดไทยเลื่องชื่อ
พิกัด ร้านแม่น้องชม ถนน แก่งคอย – ตาลเดี่ยว บ้านขอนหอม แก่งคอย สระบุรี ตรงข้ามวัฒนาฮอนด้า เยื้องปั้ม ปตท
อาหารเช้าที่เจ็ดคต เริ่มหมดพลังแล้ว เราไปหาของอร่อยกินกันดีกว่า
นี่เลยครับ “ผัดไทยร้านแม่น้องชม” ร้านนี้เด่นที่น้ำราดผัดไทยซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่ได้คิดและปรุงสูตรขึ้นมาเอง ซึ่งก็เป็นที่ถูกใจขาชิมขากินทั้งในแก่งคอยเองและขาชิมต่างถิ่นที่ผ่านมาผ่านไปแล้วอดใจไม่ไหวที่จะต้องมากินผัดไทยแม่น้องชม
เมนูที่โดดเด่นและขายดีนั้นก็คือ เมนูผัดไทยเกี๊ยวกรอบ นั่นก็คือนำผัดไทยไร้เส้นมาราดบนเกี๊ยวกรอบนั่นเอง ส่วนเครื่องปรุงต่างๆไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงหรือพริกป่น ทางร้านได้คั่วเองวันต่อวัน รับประกันความอร่อยแน่นอนจ้า นอกจากสั่งกินที่ร้านแล้ว ร้านผัดไทยแม่น้องชม ยังมีบริการส่งถึงที่ ในแก่งคอยทั้งสั่งผ่าน Applications หรือโทรสั่งที่ร้านก็ได้เช่นกัน
ปล.ที่นี่ เราใช้ถุงผ้าซื้อของ เป็นลดขยะ และลดโลกร้อนครับ
5.จุดเช็คดินที่5 “วัดป่าสว่างบุญ” อ.แก่งคอย
จากเจ็ดคต เรามากันที่ วัดป่าสว่างบุญ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
วัดป่าสว่างบุญ สร้างขึ้นในปี 2528 โดยหลวงพ่อสมชายปุญญมโนมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า400 ไร่ เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ เหมาะกับการมาปฏิบัติธรรม เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังติดกับภูเขา อากาศก็เย็นสบาย
วัดป่าสว่างบุญ โดดเด่นที่ พระมหาเจดีย์ 500 ยอด ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “พระมหารัตนโลหะเจดีย์ศรีศาสนโพธิสัตว์สว่างบุญ” มีเจดีย์องค์ประธานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร มี 9 ชั้น มีบริวาร 500 องค์ มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง และมีองค์เจดีย์รายองค์เล็ก ตั้งลดหลั่นกันลงมาอยู่โดยรอบ
โดยมี ซุ้มประตูทางขึ้นทั้งสี่มุมทำเป็นบันไดขึ้นไปยังองค์เจดีย์ที่ตั้งอยู่ทางด้านบน ตัวองค์เจดีย์เป็นปูนปั้นรูปแบบ สวยงามประณีตเคลือบสีทอง ทั้งหมดทุกองค์
ผนังด้านในของเจดีย์องค์ประธานประดับกระจกทับทิมสวยงาม มีภาพพระธาตุเจดีย์สำคัญๆ ทั่วประเทศ ประดับไว้ด้านบน ภายในองค์เจดีย์ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย เนปาล ,ศรีลังกาและสาธารนุชน มาร่วมบรรจุในพระมหาเจดีย์ครบทั้ง 500 ยอด และได้นำพระบรมสารีริกธาตุ และวัตถุมงคล ของมีค่ามาสักการบูชาจำนวนมาก บรรจุอยู่ในพระเจดีย์องค์ประธาน
ด้วยความสวยขององค์เจดีย์ ทั้งองค์ประธาน และองค์ราย ทำให้เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาถ่ายดาว ถ่ายทางช้างเผือกที่วัดนี้ครับ
ทริป 2 วัน 1 คืน เที่ยวเท่ๆที่ สระบุรี” ก็จบลง ก่อนจากกันในทริปนี้ ลุงอยากเชิญชวนออกไปเที่ยวเมืองไทยกันนะครับ เที่ยวเท่ๆ เที่ยวเมืองไทย ไปกันได้บ่อยๆ สิ่งสำคัญก็อย่าลืมเที่ยวอย่างปลอดภัย และรับผิดชอบ หมั่นล้างมือ พกเจลแอลกอฮอล์ สวมหน้ากาก เคารพในกติกาของสถานที่ ทิ้งขยะลงถัง ฯลฯ แล้วเจอกันใหม่ในจังหวัดต่อไปครับ
เที่ยวไป ยิ้มไป เมืองไทยของเรา
จากใจ ชายคาตะวัน