chaicatawan

เที่ยวอินเดีย สักครั้งในชีวิต ได้ตามรอยพระพุทธเจ้า..

รีวิวเที่ยวอินเดีย

“อินเดีย”
เมื่อกล่าวถึงชื่อนี้ผมนึกถึงศาสนาพุทธ ก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ได้ประสูติที่อินเดียก็ตาม แต่อินเดียก็ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาพุทธ สิ่งต่อมาที่ผมนึกถึงก็คือ ภาพยนตร์ครับ ตอนเป็นเด็กได้ดูอยู่หลายเรื่อง ส่วนใหญ่เป็นหนังที่มีเพลงและการเต้นเป็นส่วนประกอบ เรียกได้ว่า ร้องเต้นกันทั้งเรื่องก็ว่าได้ นอกจากนี้ผมก็นึกถึง ทัชมาฮาล  ชนชั้นวรรณะ แม่น้ำคงคา ขอทาน และประชาการที่มีจำนวนมหาศาล

 

เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาผมได้รับเชิญจากสายการบินไทยสมายล์ ให้เดินทางไปเที่ยวเมืองลัคเนาว์ เมืองหลวงของรัฐอุตตระประเทศ ประเทศอินเดีย และเลยไปถึงเนปาล เพื่อสักการะดินแดนที่พระพุทธเจ้าประสูติอีกด้วย

 

ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็พอสมควรครับ ประเทศอินเดียอาจไม่ใช่ประเทศต้นๆของผมที่อยากเดินทางไปเที่ยว แต่พอมาคิดถึงเรื่องศาสนาพุทธ  เรื่องพระพุทธเจ้า ที่เราได้เรียนมาตอนเป็นเด็ก ทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้มาเที่ยวอินเดียซักครั้งในชีวิตเหมือนกัน


ทริปนี้ มีชื่อทริปว่า เส้นทางตามรอยพระบาททีย่าตรา แห่งองค์พระพุทธศาสดา น้อมสักการะ 2 สังเวชนียสถาน  โดยสายการบิน Thai Smile Airways


เราเดินทางเมื่อวันที่ 18-23 เมษายน 2560 โดยสายการบิน ไทยสมายล์  ตอนผมไปเครื่องออกจากสุวรรณภูมิ 22.00 น. ใช้เวลาบิน เกือบๆ4ชั่วโมง

Thai Smile Airways เปิดบินตรงกรุงเทพฯ -ลักเนาว์ เมื่อเดือนธันวาคม 59

ล่าสุดไทยสมายล์ได้เปลี่ยนแปลงวันเวลาเที่ยวบิน โดยบิน 4เที่ยวต่อสัปดาห์ อา  จ  พ  ศ  ขาไป WE 333 BKK-LKO 04.40-07.00 น.   ขากลับ WE334 LKO-BKK  08.00-13.30

และในเดือนมิย.60 จะเปลี่ยนวันเป็น อา  อ  พฤ  ศ   ฉะนั้นก่อนวางแผนเที่ยว เพื่อความชัวร์ ควรสอบถามรายละเอียดที่ 1181 หรือคลิก Thai Smile Airways


การที่ไทยสมายล์ เปิดบินตรงลัคเนาว์ ทำให้การเดินทางมาแสวงบุญที่อินเดียของชาวไทย สะดวกยิ่งขึ้น เพราะระยะทางจะใกล้กว่าเส้นทางพุทธคยา ซึ่งการบินไทยบินมานาน การใช้เมืองลัคเนาว์เป็นจุดเริ่มต้น จะง่ายและใกล้กว่า สามารถซื้อทัวร์ หรือเช่ารถเดินทางต่อแสวงบุญได้เลย

 

สิ่งควรรู้ก่อนไปอินเดีย

1.ไปอินเดีย ต้องขอวีซ่า ไปขอได้ที่ ศูนย์รับคำร้องขอวีซ่า ประเทศอินเดียVFS ตึกพีเอสทาวเวอร์ ชั้น10 สุขุมวิท 21 ( อโศก )  โทร: 02-258-3063-64  64      ลิงค์ขอวีซ่าอินเดีย คลิก ขอวีซ่าอินเดีย
อีเมล์ : bkk@vfshelpline.com

วีซ่าอินเดียของผมได้มาเป็นแบบ Multiple สามารถเข้าออกอินเดียได้หลายครั้ง เรื่องนี้สำคัญนะครับ เพราะถ้าเราต้องไปเนปาลด้วย แล้วจะกลับเข้าอินเดียอีก จะมีปัญหาได้ ฉะนั้นต้องเช็คด้วยว่า วีซ่าของเราเป็นแบบ single  double หรือ multiple

2.ช่วงที่ผมไป เดือนเมษายน อากาศร้อนมาก 30กว่าๆ เกือบ 40 องศา อย่าลืมเอาร่ม หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดด ยาแก้แพ้ไปด้วย

3.อินเดีย ใช้เงินรูปี ผมแลกที่ร้านซูปเปอร์ริช ในสุวรรณภูมิ อัตราแลกเปลี่ยน 100 รูปี ประมาณ 50 บาท  สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง ใช้เงินไทยได้ หรือถ้าให้ขอทาน หรือคนที่เราถ่ายรูป เค้าก็ยินดีรับเงินไทย ฉะนั้นแลกเงินรูปีใบเล็กๆติดกระเป๋าไว้ หรืออาจจะมีแบงค์20บาทติดไปเยอะๆด้วยก็จะดี  เพราะบางทีอาจใช้ซื้อของที่ระลึกบางอย่างได้ ซึ่งคนอินเดียที่มาเดินขาย บอกราคาเป็นเงินไทยเลย 20 บาท 20 บาท

4.เวลาซื้อของต้องระวังเรื่องเงินทอน เพราะคนขายมักไม่อยากทอน หรือทอนก็ทอนเป็นแบงค์ใบเก่าๆ อย่ารับนะครับ ขอเป็นแบงค์ใหม่ๆแทน เพราะจะเอาไปใช้ต่อยาก แล้วทางร้านแลกเงินก็ไม่รับแลกคืนด้วย

5.อินเดีย ใช้ไฟฟ้า 220 v  และปลั๊กเสียบไฟเป็นแบบรูกลม 3 ขา ถ้าอุปกรณ์ของเราเป็นแบบ 3 ขาก็ใช้ได้เลย หรือกันเหนียวให้ติดปลั๊กแบบ Universal ไปด้วย

6.เวลาที่อินเดีย ช้ากว่าไทย1.30 ชั่วโมง

7.เรื่องเน็ต ผมซื้อ SIM 2FLY ของเอไอเอส 399 บาท  เพคเกจ 8 วัน ซื้อที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซื้อเสร็จให้พนักงานเปิดใช้งานให้เลย แต่เรื่องสัญญานเน็ต และไวไฟที่อินเดียทริปนี้ จะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ ยิ่งออกไปนอกๆเมืองยิ่งสัญญานไม่ดี

 

Universal ปลั๊ก


เมื่อรู้แล้วว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ก็ได้เวลาบินแล้วครับ ไทยสมาย รอยยิ้มคู่ฟ้า ทยานขึ้นจากสนามบินสุรรณภูมิเวลา 22.00น.  บนเครื่องมีอาหารให้ทานครับ มีทั้งแบบอินเดีย และแบบไทย ผมเลือกแบบไทยอยู่แล้ว อาหารก็อร่อยดีครับ กินเสร็จก็ได้งีบบ้าง ใช้เวลาประมาณ4 ชั่วโมงก็ถึง ลัคเนาว์

ผ่านตม.เรียบร้อย ก็ขึ้นรถครับ คันเล็กๆ แอร์เย็นฉ่ำ ไกด์ชาวอินเดียมอบสร้อยคอลูกปะคำให้เป็นการต้อนรับ

 

Renaissance Lucknow
คืนนี้ดึกแล้ว เราเข้าพักผ่อนนอนเอาแรงก่อนที่โรงแรม Renaissance Lucknow เป็นโรงแรมที่สวย ทันสมัยมาก โดยเฉพาะห้องน้ำที่ผนังเป็นกระจกกั้นกับห้องนอน ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงไม่มีม่านกั้น แล้วจะอาบบน้ำกันยังไง เพราะนอนกัน 2 คน เกิดความวุ่นวายเล็กน้อย


 

จนที่สุดจึงรู้ว่ามีสวิชในห้องน้ำ เราต้องเปิดเพื่อให้กระจกเป็นฝ้า มองไม่เห็นห้องนอน นับว่าเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงกันเลย

ปลั๊กไฟในห้องน้ำ และสวิชปิดเปิดม่านห้องน้ำ

 

เช้าวันแรกในอินเดียที่ ลัคเนาว์
เช้านี้เราเพิ่มพลัง ตุนแรงไว้เดินทางไกล ด้วยอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม มีหลากหลายเมนู ทั้งอาหารอินเตอร์ และอินเดีย อร่อยถูกปากครับ เรียกว่า รอดแล้วมื้อแรกในอินเดีย

ที่ห้องอาหารชั้น14 ของโรงแรม มองเห็นสถาปัตยกรรมสุดยิ่งใหญ่ นั่นคือ Ambedkar Memorial Park ( อัมเบดการ์ เมมโมเรียล ปาร์ค ) งดงามมากครับ ได้แต่มองและถ่ายรูปผ่านกระจก เอาไว้ตอนขากลับมาจากการสักการะสังเวชนียสถาน แล้วจะมานำเสนอให้ชมแบบละเอียดอีกที

Lucknow-Sravasti
วันนี้เราต้องนั่งรถ 180 กม. ไปยังเมือง สาวัตถี เพื่อตามรอยพระพุทธเจ้า เมืองสาวัตถี เราคงคุ้นชื่อบ้างนะครับ ตอนเรียนวิชาหน้าที่ศีลธรรม ระหว่างทาง เราจะเห็นความวุ่นวายของการจราจรในอินเดีย ที่บนท้องถนนมีรถมากมาย เสียงแตรดังแบบไม่ขาดสาย  อิสระกันถ้วนหน้า ทุกคนใช้ถนนกันได้อย่างเสรี ไม่ว่าจะเป็นรถอะไร ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์

ระหว่างทางที่เรานั่งอยู่บนรถ ผมชอบมองที่หน้าต่างรถ มองดูวิถีของสถานที่ที่เราไม่เคยมา ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็น ผู้คน บ้านเรือน และทุกสิ่งทุกอย่าง มันล้วนท้าทายชัตเตอร์ยิ่งนัก ถึงแม้จะอยู่บนรถที่อาจจะถ่ายยากสักหน่อย แต่ก็ได้ภาพมาฝากกันพอสมควร

อยู่บนรถราวๆ4ชั่วโมง เมื่อมาถึง สาวัตถี เราเช็คอินที่โรงแรม Sravasti Residency Hotel  กันก่อน


จากนั้นก็ไปรับพระอาจารย์คมสรณ์ เจ้าอาวาสวัดไทยเชตุวันมหาวิหาร ซึ่งท่านมาอยู่ที่อินเดีย20กว่าปีแล้ว  และทริปสักการะ2สังเวชนียสถานและตามรอยพระพุทธศาสดาในครั้งนี้ ท่านพระอาจารย์คมสรณ์ ทำหน้าที่บรรยายเกี่ยวกับพุทธประวัติตลอดทริป
สาวัตถี เป็นเมืองในสมัยพุทธกาล เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้น โกศล และมีความสําคัญกับศาสนาพุทธอยู่มากมาย ทั้งนี้เพราะสถานที่ที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจําพรรษาอยู่นานถึง 24 พรรษา และเป็นเมืองที่พระองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาและแสดงธรรมแก่ภิกษุและพุทธบริษัท ให้บรรลุอมต ธรรมเป็นจํานวนมาก มีพระอรหันตสาวกอยู่จําพรรษานับพันนับหมื่นองค์ มี อุบาสกอุบาสิกาก็เป็นเลิศกว่าใครในแผ่นดิน ส่วนพระราชาก็ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

จากนั้นเราได้เข้าไปชมและสักการะวัดเชตุวันมหาวิหาร

วัดเชตวันมหาวิหาร หรือสาเหต (SAHET) พระอารามหลวงของ องค์พระศาสดา จําพรรษาถึง 19 พรรษา โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้บริจาค ทรัพย์สมบัติในการสร้างมหาวิหารแห่งนี้ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 80 ไร่ มีที่ที่พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร

พระมูลคันธกุฎี กุฏิของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการขุดค้น  และปรับแต่งภูมิทัศน์เป็นอย่างดี

พระอาจารย์คมสรณ์บรรยายเกี่ยวกับพระมูลคันธกุฎี

มีพระอินเดียมาร่วมสวดมนต์

วัดเชตวันมหาวิหารแห่งนี้ เป็นสถานที่เกิดเรื่องราว และพระสูตรสําคัญๆ ในพระพุทธศาสนามากมายเช่น เรื่องของพระองคุลิมาล นางปฏาจาราเถรี พระนางกิสาโคตมีเถรี การถวายอสทิสทาน เรื่องพระพุทธองค์ ทรงดูแลภิกษุไข้ พราหมณ์จูเฬกสาฏก ทรงพยากรณ์สุบินนิมิต 16 ประการ นางกาลียักษิณี นางจิญมาณวิกาถูกแผ่นดินสูบ พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ เป็นต้น
ในส่วนพระสูตรนั้นมีจํานวนมาก ที่สําคัญ ๆ เช่น มหามงคลสูตร, ธชัคคสูตร, ทสธัมมสูตร, สาราณียธรรมสูตร, อหิราชสูตร, เมตตานสังสสูตร, คิริมานนทสูตร , ธัมมนิยามสูตร, อปัณณกสูตร, อนุตตริยสูตร, พลสูตร, มัคควิภังคสูตร, โลกธัมมสูตร, ทสนารถกรณธัมมสูตร, อัคคัปปทานสูตร, ปธานสูตร, อินทริยสูตร, อนริยสูตร และสัปปุริสธัมมสูตร

 

นี่คืออานันทโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่อายุยืนที่สุดในโลก เป็นต้นโพธิ์ที่ปลูกโดยพระอานนท์ในสมัยพุทธกาล ต้นโพธิ์ต้นนี้ปรากฏหลักฐานจารึกของหลวงจีนฟาเหียนและพระถังซัมจั๋ง ปัจจุบันต้นโพธิ์ต้นนี้ได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี มีการใช้เสาเหล็กค้ำยัน และยังคงยืนต้น มีกิ่งใบที่สวยงาม นับอายุได้ 2500 กว่าปี

 

ถ้ามาชม ห้ามเด็ดใบจากต้นนะครับ ให้เก็บใบที่ร่วงแล้วเท่านั้น

 

2ใบนี้ผมได้รับจากพระที่นั่งสวดมนต์อยู่ใต้ต้นโพธิ์

 

เหล่าบล็อกเกอร์นั่งฟังพระอาจารย์คมสรณ์ด้วยความตั้งใจ

 

ปิดทองกุฏิพระสารีบุตร


บล็อกเกอร์สาว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งได้มาแสวงบุญ ตามรอยพระพุทธเจ้า
ตรงนี้คืออัฏกะสถูปพระอรหันต์ 8 ทิศ


 

ภายในวัดมีลิงค่อนข้างเยอะ
กำลังโพสต์ท่าให้บล็อกเกอร์สาวถ่ายรูป

 

บริเวณศาลสงฆ์ในอดีตกาล ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ

 

พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าที่วัดเชตวันมหาวิหาร

 

บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

ก่อนจะมืด เราก็มูฟไปยังบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดนัก

 

พระอาจารย์คมสรณ์ เล่าให้เราฟังว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นเศรษฐีผู้มีจิตใจงดงาม เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก  และเมื่อได้พบกับพระพุทธองค์ จึงเลี้ยงภัตตาหารแก่พระพุทธศาสดา พร้อมรับฟังพระธรรมเทศนา อนุปุพพิกถาและอริยสัจ 4 จนบรรลุโสดาปัตติผล

จนกระทั่งได้อาราธนาพระพุทธองค์ ให้ไปประทับที่เมืองสาวัตถี และซื้อสวนของเจ้าเชต มาสร้างวัดเชตวันมหาวิหาร จึงเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มหาเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี   อุบาสกผู้คอยอุปัฏฐากพระพุทธศาสนาท่านได้รับการยกย่องให้เป็นอุบาสกผู้เลิศในการเป็นผู้ถวายทาน

ผู้แสวงบุญ ที่มาชมบ้านท่านเศรษฐี ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า  การได้มายืนสวดมนต์บริเวณหน้าบ้านเศรษฐี จะส่งผลบุญให้ผู้ยืนสวดมนต์ประสบพบแต่โชคลาภ  บางคนหยิบกระเป๋าเงินมาเปิดอ้า เพื่อเรียกโชคลาภ ให้เงินไหลมาเทมาสู่กระเป๋า

ปัจจุบันบ้านหลังนี้เหลือเพียง อาคารก่ออิฐสูงเท่าตึก 2 ชั้น มีบันไดขึ้นไป ถึงยอดตรงกลางที่เป็นห้องโถงใหญ่ สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่เก็บทรัพย์สมบัติของ มหาเศรษฐีในการสร้างวัดเชตวันมหาวิหาร

 

ที่ใกล้ๆบ้านท่านเศรษฐี จะมีบ้านของพ่อองคุลีมาล เราไม่ได้เข้าไปชมข้างใน  เพราะว่าเริ่มมืดแล้ว ได้เวลากลับเข้าที่พัก

 

รีวิวตอนต่อไป จะเป็นวันที่2 ของทริป จะพาไปเข้าประเทศเนปาลครับ ไปชมสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า

ฟ้ากว้างทางไกล หัวใจไปถึง
จากใจ..ชายคาตะวัน

Comments

comments

1 Comment

  1. raveetawan

    สวยมากๆเลยคะ

    Reply

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *